วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประเภทของเทียน (Candles Type)

ประเภทของเทียน (Candles Type)


เทียนเทเปอร์  (Taper Candle)
คือ เทียนที่มีลักษณะยาวเรียว มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางด้านบนอยู่ที่ประมาณ Ø ½ นิ้ว และ ด้านก้นของเทียน Ø 7/8 นิ้ว และมีความยาวของเทียนตั้งแต่15 - 30 ซม. หรือ 6 -12 นิ้ว เป็นเทียนที่ใช้ปักกับเชิงเทียนที่มีขนาดพอดีกับด้านท้ายของเทียน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้ตกแต่งบนโต๊ะอาหาร


เทียนลอยน้ำ (Floating Candle)
คือ เทียนที่เวลาใช้จุดลอยบนน้ำ เพื่อความสวยงามซึ่งมีรูปแบบต่างๆมากมาย เช่น
เทียนลอยน้ำที่ปั้นเป็นดอกไม้ต่างๆ เช่น ดอกกุหลาบ, ดอกลีลาวดี ฯลฯ หรือเป็นงานเทียนที่หล่อเป็นรูปทรงต่างๆ เช่น จานบิน รองเท้าแตะ หรือ เทียนลอยน้ำที่หล่อจากแม่พิมพ์ที่ใช้ทำขนมรูปต่างๆ


เทียนโวทีฟ (Votive Candle)
คือ เทียนรูปทรงกระบอกขนาดเล็ก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง Ø 4 เซนติเมตร (ซม.)  หรือ 1 ½ นิ้ว และ มีความสูง 4-6 เซนติเมตร (ซม.)หรือ 1 ½ นิ้ว / 2 นิ้ว หรือ 3 นิ้ว
เป็นเทียนที่ออกแบบมาเพื่อจุดในแก้วขนาดเล็ก เพื่อไม่ให้น้ำตาเทียนไหลเวลาที่จุดเทียน



เทียนพิลาร์ (Pillar Candle)
คือ เทียนรูปทรงกระบอกมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่นิยมใช้กันอยู่ที่ 5-15 เซนติเมตร (ซม.) หรือ 2 นิ้วขึ้นไป จนถึง 6 นิ้ว สำหรับเทียนพิลาร์ทรงกระบอก และเทียนพิลาร์ยังสามารถใช้เรียกเทียนรูปทรงอื่นๆได้ เช่น รูปทรงสี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม ปีรามิด ทรงกระบอก รูปดาว หรือรูปหัวใจ เทียนพิลาร์ส่วนมากจะนิยมใช้กับเชิงเทียนที่มีลักษณะแบน เช่น จานรอง เป็นต้น

เทียนภาชนะ (Container Candle)  คือ เทียนที่เทในภาชนะรูปทรงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแก้วน้ำ กระถางเซรามิก หรือ กระป๋องโลหะ เทียนภาชนะสามารถทำโดยการใส่น้ำมันหอมในอัตราส่วน%สูงๆมากได้ถึง 15% ของน้ำหนักเทียนเพราะ อยู่ในภาชนะจึงไม่มีปัญหาเรื่องเนื้อเทียนมีความนิ่มเนื่องจากน้ำมันหอม

เทียนฟรุ้ตสลัด (Chunk Candle) คือ เทียนต้องทำเทียนเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆก่อน โดยการเทลงในถาด แล้วหั่นเป็นก้อนเล็กๆตามขนาดที่ต้องการ เลือกสีก้อนเทียนที่ต้องการแล้วนำไปใส่ในแม่พิมพ์แล้วเทน้ำเทียนขาวเพื่อให้สีของก้อนเทียนที่ใส่เข้าไปก่อนมีความเด่นสามารถมองเห็นก้อนเทียนสีต่างๆได้จากด้านข้างของเทียน สามารถทำเป็นเทียนในรูปทรงต่างๆได้ เช่น เทียนพิลาร์, เทียนสี่เหลี่ยม เป็นต้น


เทียนน้ำแข็ง (Ice Candle) คือเทียนมีลักษณะเป็นรูพรุนบนเนื้อเทียน วิธีการทำโดยการใส่ก้อนน้ำแข็งตามขนาดที่ต้องการลงในแม่พิมพ์ก่อน แล้วเทเทียนตามลงไป การที่เกิดรูพรุนเป็นลวดลายบนเนื้อเทียนก็เนื่องจากการที่น้ำแข็งละลายไป ทำให้เนื้อเทียนเกิดเป็นช่องว่าง

เทียนทราย (Sand Candle) คือ เทียนที่มีเม็ดทรายติดอยู่บนเนื้อของเทียนทั้งแท่งยกเว้นด้านบนของเทียน วิธีการทำคือ เททรายละเอียดลงในกระบะหรือภาชนะอื่นๆอัดทรายให้แน่น แล้วขุดเนื้อทรายออกให้เป็นหลุมตามขนาดที่ต้องการแล้วเทเทียนลงในหลุมทรายที่ทำไว้ แล้วเสียบไส้เทียน พอเนื้อเทียนแห้งก้อขุดเทียนออกจากทราย ปัดเม็ดทรายที่ด้านข้างและด้านล่างของเทียนให้เรียบ ก็จะได้เทียนที่มีเม็ดทรายติดอยู่ที่ด้านข้างและด้านล่างของเทียน ที่มีความสวยงาม

 เทียนทีไลท์ (Tea Light Candle) คือเทียนที่นิยมใช้จุดเพื่อให้ความร้อนสำหรับจุดใต้เตาเตาน้ำมันหอม เป็นเทียนภาชนะทีบรรจุอยู่ในถ้วยที ไลท์ที่ทำจากโลหะหรือพลาสติกขนาดเล็ก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของถ้วย Ø3.8 – 4 เซนติเมตร (ซม.) และมีความสูงของถ้วยอยู่ที่ 15 -18 มิลลิเมตร (มม.) ขนาดบรรจุ 10 - 100 ชิ้น / แพค

 เทียนเจล (Gel Candle) คือ เทียนที่มีความใสเหมือนเจลลี่หรือวุ้น เนื้อเทียนมีความนิ่มซึ่งส่วนมากจะนำมาเทใส่ภาชนะที่มีความใสประเภทแก้วรูปทรงต่างๆ ที่ทำการออกแบบรูปแบบของงานไปในรูปแบบของการนำวัสดุต่างๆมาตกแต่งในแก้วก่อนแล้วจึงเทเทียนเจลลงไปในแก้ว เนื่องจากเทียนเจลมีความใสจึลทำให้มองเห็นวัสดุที่ตกแต่งไว้แล้ว ทำให้งานที่ออกมามีความสวยงาม หรือออกแบบงานเป็นงานที่เลียนแบบเครื่องดื่มต่างๆ เช่นใส่สีเหลืองแล้วเทในแก้วให้เหมือนกับเบียร์โดยด้านบนใช้ใช้พาราฟินแว็กซ์ตีให้เป็นฟองครีมปิดด้านบนให้เหมือนกับลักษณะของฟองเบียร์ เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำเทียน (Candles Raw Material)

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำเทียน (Candles Raw Material)
วัตถุดิบที่ใช้ในการทำเทียนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ  
1. สารตั้งต้นสำหรับการทำเทียน (Candle Precursors)
2. สารเติมแต่งสำหรับการทำเทียน (Candle Additives)
1. สารตั้งต้นสำหรับการทำเทียน (Candle Precursors)
สารตั้งต้นสำหรับการทำเทียน (Candle Precursors) หมายถึง สารที่สามารถนำมาทำเป็นเนื้อเทียนได้ส่วนใหญ่จะเป็นสารประเภทไขหรือแว็กซ์ (Waxes) ที่เป็นผลพลอยได้จากหลายอุตสาหกรรมการผลิตและจากหลายแหล่งที่มา ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกใช้กันมากมายหลายชนิดแต่ผลิตภัณฑ์แว็กซ์ที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้เป็นเนื้อเทียนหรือสารตั้งต้นในการทำเทียน ได้แก่
1. ผลิตภัณฑ์แว็กซ์ที่ได้จากปิโตรเลียม (Petroleum Waxes) เช่น
พาราฟินแว็กซ์ (Paraffin Wax) แว็กซ์ที่เป็นผลพลอยได้มาจากอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันปิโตรเลียม
2. ผลิตภัณฑ์แว็กซ์ที่ได้จากพืช (Vegetable Waxes) เช่น     
ปาล์มแว็กซ์ (Palm Wax) แว็กซ์ที่เป็นผลพลอยได้มาจากอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันปาล์ม
ซอยแว็กซ์ (Soy Wax)        แว็กซ์ที่เป็นผลพลอยได้มาจากอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันถั่วเหลือง
3. ผลิตภัณฑ์แว็กซ์ที่ได้จากสัตว์ (Animal Waxes) เช่น 
ขี้ผึ้งหรือบีแว็กซ์ (Beeswax) แว็กซ์ที่เป็นผลพลอยได้มาจากอุตสาหกรรมการเลี้ยงผึ้งเพื่อการผลิตน้ำผึ้ง
4. ผลิตภัณฑ์แว็กซ์ที่ได้จากการสังเคราะห์ (Synthetic Waxes) เช่น       
เจลแว็กซ์ (Gel Wax) แว็กซ์ที่ได้จากการนำมาผสมกันระหว่างน้ำมันขาว (White Oil) กับเรซิ่นผงซึ่งเป็นสารประเภทโพลิเมอร์ คือ “Thermoplastic Powder Resin” ซึ่งมักนิยมเจลแว็กซ์ใช้ในการทำเทียนหล่อในภาชนะใส เช่น แก้ว เนื่องจากเนื้อของเจลแว็กซ์มีความใสจนสามารถทำให้มองเห็นตกแต่งสิ่งของต่างๆในแก้วได้
ซึ่งแว็กซ์ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นแว็กซ์ที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้เป็นสารตั้งต้นในการทำเทียนในปัจจุบัน
แต่ก็ยังมีแว็กซ์อีกหลายชนิดที่สามารถนำมาใช้เป็นสารตั้งต้นในการทำเทียนได้แต่ไม่ค่อยนิยมนำมาใช้กันในปัจจุบัน เช่น    เบเบอรี่แว็กซ์ (Bayberry Wax), ไขปลาวาฬ (Spermaceti Waxes) เป็นต้น
2. สารเติมแต่งสำหรับการทำเทียน (Candle Additives)
สารเติมแต่งสำหรับการทำเทียน (Candle Additives) หมายถึง สารที่สามารถนำมาใช้ในการทำเทียน
เพื่อเพิ่มคุณภาพของเนื้อเทียนให้ดียิ่งขึ้น ถ้าจำแนกตามหน้าที่การทำงานจะแบ่งได้เป็น 3 ประเภท   ดังนี้
1. สารเติมแต่งเพื่อเพิ่มคุณภาพเนื้อเทียน (Candle Wax Additives) ได้แก่
- โพลีเอททีลีน แว็กซ์ หรือ พีอีแว็กซ์ (Polyethylene Wax or PE Wax)
- ไมโครคริสตัลไลน์ แว็กซ์ หรือ ไมโครแว็กซ์ (Microsrystalline Wax or Micro Wax)
- สเตียรีน หรือ สเตียริค แอซิด (Stearine or Stearic Acid)
2. สารดัดแปรสมบัติทางเคมีสำหรับการทำเทียน (Candle Chemical Property Modifiers) ได้แก่
- สารป้องกันการเกิดออกซิเดชัน หรือ สารป้องกันการเกิดฟอง (Antioxidants)
- สารดูดกลืนแสงอัลตราไวโอเลต หรือ สารป้องกันสีซีด (UV Absorber)
- สารเพิ่มเสถียรภาพต่อแสงอัลตราไวโอเลต (UV Stabilizers)
3. สารดัดแปรเพื่อความสวยงามสำหรับการทำเทียน (Candle Aesthetic Property Modifiers) ได้แก่
สารให้สี (Colorants)
- สีผง (Dyes)
- เม็ดสีเข้มข้น (Master Batch)
สารให้กลิ่น (Odorants)
- น้ำมันหอมระเหยจากการสกัดโดยวิธีการธรรมชาติ (Essential Oils)
- น้ำมันหอมระเหยจากการสกัดด้วยวิธีการสังเคราะห์ทางเคมี (Fragrance Oils)




วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เทคโนโลยีการทำเทียน
(Candles Technology)           

     ในปัจจุบัน...ยังคงมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่ทำการผลิตเทียนในลักษณะเชิงพาณิชย์ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเทียนในรูปแบบอุตสาหกรรมขนาดเล็กในครัวเรือนที่รับทำตาม order และทำการผลิตเพื่อจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัว หรือในอุตสาหกรรมขนาดกลางในระดับชุมชนหรือตำบลที่มีลักษณะการผลิตเทียนเป็นสินค้า OTOP ในลักษณะเทียนสวยงามที่ทำการผลิตเทียนในจำนวนไม่มากเพื่อขายภายในประเทศ หรือในระดับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ทำการผลิตเทียนครั้งละเป็นจำนวนมากๆเพื่อทำการส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งยังไม่ได้นับรวมถึงคนทั่วไปที่มีความสนใจอยากทำการผลิตเทียนเพื่อทำขายเป็นรายได้พิเศษเพิ่มเติมหรือทำเทียนเป็นงานอดิเรกในยามว่างอีกซึ่งมีอีกจำนวนไม่น้อยเลย รวมถึงนักเรียนนิสิตนักศึกษาที่ต้องเรียนการทำเทียนในหลักสูตรการเรียนหรือการทำโครงงานเพื่อส่งอาจารย์ในวิชาวิทยาศาสตร์ แต่การหาข้อมูลและวิธีการทำเทียนที่จะนำมาใช้ในการเรียนการสอนของแต่ละโรงเรียนหรือสถาบันนั้น ยังคงเป็นการอ้างอิงข้อมูลจากตำราต่างประเทศหรือเว็บไซต์ที่มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับการผลิตเทียนที่เป็นภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ และตำราหรือคู่มือสอนการผลิตเทียนที่เป็นภาษาไทยนั้นยังคงมีน้อยซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นหนักข้อมูลการเรียนการสอนไปในทางปฏิบัติมากกว่า
 ถึงแม้ว่า...การทำเทียนคงจะไม่ใช่เรื่องอะไรที่มีความแปลกและใหม่ในปัจจุบันเพราะการทำเทียนทำกันมานานนับเป็นสิบปีมาแล้ว และถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมถึงต้องเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทำเทียนอีกล่ะ? ทั้งๆที่ก็มีหนังสือเทียนมากมายที่วางขายกันในร้านขายหนังสือหรือมีข้อมูลการทำเทียนให้เห็นกันในอินเตอร์เน็ตตามเว็บไซต์ต่างๆทั้งของไทยและต่างประเทศมีทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และทำไมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับการทำเทียนถึงเป็นข้อมูลที่ผู้ที่ต้องการศึกษาหรือต้องการทำเทียนไม่สามารถจะทราบได้เลยว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นเป็นข้อมูลที่ถูกต้องจริงๆหรือไม่มากกว่าการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นๆเพื่อทำการค้นคว้าเพื่อต้องการศึกษาให้ได้มาซึ่งข้อมูลมากขึ้นนั้นจะหาข้อมูลได้จากที่ไหนและแนวทางที่ถูกต้องเพื่อนำข้อมูลที่ได้รับมานำไปปฏิบัติและคิดค้นหาวิธีการใหม่ๆในการทำเทียนเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์เทียนรูปแบบใหม่ๆต่อไปนั้นจะสามารถทำได้อย่างไร?
การทำเทียน (Candle making) ยังคงเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่ยังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งการทำเทียนในส่วนของทฤษฎีจะเป็นเรื่องราวที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องของเคมีซึ่งมีความจำเป็นเป็นอย่างมากที่ควรจะศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติทางเคมีของวัตถุดิบและสารเติมแต่งแต่ละประเภทแต่ละชนิดให้มีความเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้ในภาคของการปฏิบัติของการทำเทียนเพราะมีความจำเป็นที่ต้องมีความเชี่ยวชาญเรื่องของวัตถุดิบสูตรส่วนผสมต่างๆเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดจากการการผสมสูตรส่วนผสมในงานเทียนแต่ละรูปแบบที่มีสูตรส่วนผสมของวัตถุดิบและสารปรุงแต่งเพราะการที่ผสมสูตรผิดหมายถึงคุณภาพของงานเทียนก็จะออกมาไม่ได้ตามมาตรฐานและถ้าต้องทำใหม่นั่นก็หมายถึงต้นทุนค่าวัตถุดิบและค่าแรงงานที่ต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ คำว่า เทคโนโลยีการทำเทียน คำนี้อาจทำให้เกิดความสงสัยว่าเทคโนโลยีนั้นมาเกี่ยวข้องอย่างไรกับการทำเทียน แต่ถ้านำประโยคนี้มาจับแยกออกจากกัน คือ คำว่า เทคโนโลยีและการทำเทียน
เทคโนโลยี (Technology) ซึ่งเป็นคำมาจากภาษากรีกว่า “Technologia” แปลว่า การกระทำที่มีระบบ ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2539:406) ได้ให้ความหมายของคำว่า เทคโนโลยี คือ วิทยาการที่เกี่ยวกับศิลปะในการนำเอาวิทยาศาสตร์ประยุกต์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติและอุตสาหกรรม
การทำเทียน (Candle making) คือ การทำผลิตภัณฑ์เทียนด้วยการนำไขหรือแว็กซ์ (Wax) ประเภทต่างๆมาหลอมละลายด้วยนำมาผ่านกระบวนการให้ความร้อน อาจเติมด้วยสารเติมแต่งเพื่อเพิ่มคุณภาพให้กับเนื้อเทียนและเพิ่มความสวยงามและกลิ่นหอมให้กับเทียนด้วยการเติมสีและน้ำมันหอมระเหย แล้วนำมาขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์เทียนด้วยวิธีการหล่อในแม่พิมพ์, การหล่อในภาชนะ, การนำมาปั้น, ม้วน หรือการใช้เทคนิคต่างๆเพิ่มเติมด้วยการใช้ปฏิกิริยาของสารเติมแต่งเพื่อให้เกิดลวดลายบนแท่งเทียน เป็นต้น
    “เทคโนโลยีการทำเทียน (Candles Technology) คือ วิทยาการที่เป็นการนำความรู้เกี่ยวกับเรื่องของธรรมชาติวิทยาและวิทยาศาสตร์มาเป็นวิธีการปฏิบัติและประยุกต์ใช้เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆในการทำเทียนได้อย่างมีระบบ
    เทคโนโลยีการทำเทียน (Candles Technology)เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการผสมผสานระหว่างวัตถุดิบที่ใช้ในการทำเทียน (Raw material) ตั้งแต่เรื่องของสารตั้งต้นประเภทเนื้อเทียนหรือแว็กซ์ (Candles Wax) กับสารเติมแต่ง(Additive)ที่ช่วยเพิ่มคุณภาพให้กับเนื้อเทียนให้มีคุณสมบัติต่างๆที่ดีขึ้น 
การใส่สารให้สี (Colorant) ประเภท Solvent Dyes ที่ใส่ลงไปในเทียนเพื่อให้เทียนมีสีสันที่สวยงาม,การใส่สารให้กลิ่น (Odorants) ประเภทน้ำมันหอมที่มาจากธรรมชาติ (Essential Oils) และจากการสังเคราะห์ (Fragrances oils) ที่ใส่ลงไปในเทียนเพื่อทำให้เทียนมีกลิ่นหอม ซึ่งวัตถุดิบที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นล้วนแต่เป็นวัตถุดิบที่เป็นเคมีทั้งสิ้น และไส้เทียน (Wicks)เป็นสิ่งสำคัญมากที่สามารถทำให้เทียนสามารถจุดเพื่อให้เกิดแสงไฟที่สวยงามได้ แต่ก็ต้องเป็นไส้เทียนที่ผลิตจากเส้นใยคอตตอน 100% (Cotton Wicks)ที่มีขนาดเบอร์ของไส้ที่เหมาะสมกับขนาดของเทียนแต่ละขนาดด้วยดังนั้น ก่อนที่เราจะเราจะเริ่มทำการทำเทียนได้ดีนั้น เราก็ควรที่จะเริ่มศึกษาเกี่ยวกับวัตถุดิบแต่ละชนิดก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณสมบัติทางเคมี (Properties) หรือ คุณประโยชน์ (application) ของวัตถุดิบแต่ละชนิด อัตราส่วนผสม (Ratios) ของสารปรุงแต่งแต่ละชนิดที่ใช้เพื่อที่จะได้นำวัตถุดิบแต่ละชนิดไปใช้ได้อย่างถูกต้อง และ เหมาะสมกับงานเทียนแต่ละประเภท และการใช้อัตราส่วนผสม (Ratios) ของสารปรุงแต่งไม่ควรจะใส่ส่วนผสมที่ไม่มากไปหรือน้อยเกินไป สารปรุงแต่งชนิดไหนที่จำเป็นต้องใส่เพิ่มและสารปรุงแต่งชนิดไหนที่ไม่จำเป็นต้องใส่เพิ่มลงไป เพราะวัตถุดิบแต่ละตัวก็ถือเป็นต้นทุนในการผลิต การใช้วัตถุดิบในอัตราส่วนผสมที่มากเกินไปเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตโดยไม่จำเป็น และเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต ก็ควรที่จะเรียนรู้ถึงวิธีการและขั้นตอนที่ถูกต้องในการทำเทียนด้วยเพื่อที่จะสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง การทำเทียนสามารถนำไปทำเป็นอาชีพหลักหรือาชีพเสริมได้ ถึงแม้ว่าจะไม่นำไปทำเป็นอาชีพ คุณก็สามารถที่จะทำเป็นแค่งานอดิเรก (Hobby) ในยามว่างได้ การเรียนรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการทำเทียนถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณสามารถทำเทียนได้ดี และถ้าคุณมีความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบและวิธีการทำเทียนได้ดี คุณก็สามารถคิดที่จะออกแบบ หรือค้นคว้าวิจัยสูตรและวิธีการทำเทียนแบบใหม่ๆได้ด้วยตัวของคุณเองอีกด้วย ซึ่งถือเป็นการต่อยอดทางทางคิดที่จะทำให้เกิดเทียนแบบใหม่ๆได้ด้วยตัวเอง เพราะ จากการที่คุณได้คิดผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์เทียนตัวใหม่ๆออกมาได้ดี ก็เท่ากับว่าคุณได้สิ่งที่สามารถพอที่จะเป็นอาวุธที่จะไปต่อสู้กับคู่แข่งทางการค้าได้อีกด้วยเราควรรู้เกี่ยวกับพื้นฐานของการทำเทียนก่อนที่จะลงมือทำเทียนให้ถูกแนวทาง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีกับการเรียนรู้เรื่องการทำเทียนในขั้นสูงๆต่อไปนะครับ... 

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แว็กซ์ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม 
(Petroleum Wax Products)
สถาบันปิโตรเลียมของสหรัฐอเมริกาหรือ API (American Petroleum Institute) ได้ทำการสำรวจและพบว่ามีผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปิโตรเลียมนั้นมีมากกว่า 2000 ชนิด ซึ่งสามารถแบ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.  ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel)
2.  ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำมันหล่อลื่นและจารบี (Lubricants & Grease)
3.  ผลิตภัณฑ์ประเภทยางมะตอยและแว๊กซ์ (Bitumen or Asphalt & Wax)
4.  ผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ เช่นตัวทำละลายและสารเคมีอื่นๆ (Solvents & Other Chemicals)
“แว็กซ์” (Wax) เป็นเพียงผลิตภัณฑ์ประเภทหนึ่งเท่านั้นจากผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่ได้จากกระบวนกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม แว็กซ์เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้มาจากกระบวนการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน (Lube Base Oil Process) วัตถุดิบสำหรับการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานคือ กากที่เหลือจากการกลั่นภายใต้หอกลั่นบรรยากาศหรือ “Long Residue” ซึ่งจะต้องนำ Long Residue ไปผ่านกระบวนการตามขั้นตอนของการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานจนถึงกระบวนการกำจัดไขออกจากน้ำมัน ซึ่งไขที่แยกมาเรียกว่า “สแลค แว็กซ์” (Slack Wax) ที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการนำไปผลิตภัณฑ์แว็กซ์ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมการผลิตเทียนและอุตสาหกรรมอื่นๆ  ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ผลิตภัณฑ์ คือ
1.  พาราฟิน แว๊กซ์ (Paraffin Wax)
2.  ไมโครคริสตัลไลน์ แว๊กซ์ (Microcrystalline Wax) หรือไมโครแว็กซ์ (Micro Wax)
3.  ปิโตรลาทัม (Petralatum) หรือปิโตรเลียม เจลลี่ (Petroleum Jelly) หรือชื่อที่รู้จักกันในทางการค้าว่า วาสลีน (Vaseline)
ซึ่งผลิตภัณฑ์แว็กซ์จากปิโตรเลียม สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
1. พาราฟิน แว็กซ์  (Paraffin Wax) จะมีลักษณะเป็นผลึกใหญ่ซึ่งประกอบด้วย Normal Paraffin เป็นส่วนใหญ่ โดยจะมีจำนวนคาร์บอนอะตอมอยู่ระหว่าง 18-36 อะตอมต่อโมเลกุล
2. ไมโครคริสตัลไลน์ แว็กซ์ (Microcrystalline Wax) และ ปิโตรลาทัม (Petrolatum) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า วาสลีน (Vaseline) นั้นจะมีลักษณะเป็นผลึกที่ละเอียดและเหนียว ซึ่งประกอบด้วย Isoparaffins และ Cycloparaffins เป็นส่วนใหญ่


วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กระบวนผลิตแว็กซ์จากพืช


กระบวนการผลิตแว็กซ์จากพืช (Vegetables Wax Process)
ผลิตภัณฑ์แว็กซ์หรือไขที่ได้จากพืช (Vegetables Wax) ส่วนใหญ่เป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันปาล์มและยังมีผลิตภัณฑ์อีกหลายชนิด ที่ได้จากอุตสาหกรรมนี้ กระบวนทั้งหมดกว่าจะมาเป็นแว็กซ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเทียนและอุตสาหกรรมอื่นๆ
ซึ่งสามารถแบ่งกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผลของปาล์มน้ำมัน ออกได้เป็น 2 ส่วน ดังนี้
1.    กระบวนการผลิตน้ำมันปาล์ม
2.    กระบวนการผลิตปาล์มแว็กซ์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ คือ ไฮโดรจีเนท ปาล์ม ออยล์  (Hydrogenate Palm Oil),
สเตียรีน (Stearine), และ ปาล์ม แว็กซ์ (Palm Wax)
1.  กระบวนการผลิตน้ำมันปาล์ม
จุดเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์ปาล์ม แว็กซ์นี้
เริ่มจากเมื่อทำการเก็บเกี่ยวทลายปาล์มน้ำมัน (Palm Fruit Bunch) ที่มีลักษณะผลเป็นสีแดง และหลังการเก็บเกี่ยวทะลายปาล์มน้ำมันจะมีการขนส่งผลผลิตเข้าสู่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม
ซึ่งจะมีกระบวนการผลิตน้ำมันปาล์มจะประกอบด้วย  2 กระบวนการหลัก คือ      
1.     กระบวนการสกัดน้ำมันปาล์ม (Mill Processing)
2.     กระบวนการกลั่นบริสุทธิ์น้ำมันปาล์ม (Refine Processing) 
1. กระบวนการสกัดน้ำมันปาล์ม (Mill Processing) กระบวนการสกัดน้ำมันปาล์มแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1.  แบบหีบน้ำมันแยกหรือแบบมาตรฐาน
โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแบบมาตรฐานจะเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตสูงประมาณ 30-80 ตัน/ชั่วโมง   และน้ำมันที่ได้จัดเป็นน้ำมันเกรดเอเนื่องจากมีการแยกชนิดของน้ำมันปาล์ม
2.  แบบหีบน้ำมันผสม
โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแบบหีบน้ำมันผสมจะเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตค่อนข้างต่ำ และน้ำมันที่สกัดได้เป็นน้ำมันผสมระหว่างน้ำมันปาล์มจากเปลือกและน้ำมันเมล็ดในปาล์ม วิธีการสกัดน้ำมันปาล์มแบบมาตรฐาน ที่นิยมใช้โดยทั่วไปมีดังนี้
การอบทะลายด้วยไอน้ำ (Sterilization Bunch) โดยทำการอบ (Autoclaves) ที่อุณหภูมิ 130-135 ° C และที่ความดัน 2.5-3barsใช้เวลาในการอบประมาณ 50-75 นาที การอบทะลายของปาล์มน้ำมันจะช่วยหยุดปฏิกิริยาไลโปไลซิส (Lypolysis Reaction) ที่ทำให้เกิดกรดไขมันอิสระในผลปาล์ม และช่วยให้ผลปาล์มอ่อนนุ่มหลุดจากขั้วผลได้ง่าย 
การแยกผล (Stripping) เป็นการส่งทะลายเข้าเครื่องแยกผลปาล์มออกจากทะลายสำหรับทะลายเปล่าจะถูกแยกออกไป จากนั้นนำผลปาล์มไปย่อยด้วยเครื่องย่อยผลปาล์มเพื่อให้ส่วนเปลือกแยกออกจากเมล็ด 
การสกัดน้ำมัน (Oil extraction) นำส่วนเปลือกอบที่อุณหภูมิ 90-100 ° C นาน 20 - 30นาทีจากนั้นผ่านเข้าเครื่องหีบแบบเกลียวอัดคู่จะได้น้ำมันปาล์มดิบที่มีองค์ประกอบคือ น้ำมัน 66 % น้ำ 24 % และของแข็ง 10 %
การทำความสะอาดน้ำมันปาล์มดิบ (Clarification) นำน้ำมันปาล์มดิบที่ได้จากการสกัด ส่งเข้าถังกรองเพื่อแยกน้ำและของแข็งออก จากนั้นนำเข้าเครื่องเหวี่ยงเพื่อทำความสะอาดอีกครั้ง และไล่น้ำออกเพื่อทำให้แห้ง ส่งเข้าถังเก็บน้ำมันสำหรับรอการกลั่นหรือจำหน่ายต่อไป น้ำมันปาล์มดิบที่ได้แยกเป็นสองส่วนคือ ส่วนบนมีลักษณะเป็นของเหลวสีส้มแดง (crude palm oil olein) ประมาณ 30 - 50 % ส่วนล่างมีลักษณะเป็นไขสีเหลืองส้ม (crude palm oil stearin) ประมาณ 50 - 70 % สำหรับกากผลปาล์มจะถูกนำมาแยกเส้นใยออกจากเมล็ด นำเมล็ดที่ได้มาอบแห้งและทำความสะอาด จากนั้นนำเข้าเครื่องกะเทาะเพื่อแยกกะลาออก และนำเมล็ดในมาอบแห้งให้มีความชื้นไม่เกิน 7 % จากนั้นบรรจุกระสอบเพื่อรอจำหน่าย หรือหีบน้ำมันต่อไป น้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันเมล็ดในปาล์มที่ได้จากกระบวนการการสกัด สามารถส่งเข้าสู่โรงงานเพื่อทำให้บริสุทธิ์ หรือจะนำไปแยกส่วน (fractionation) ก่อนก็ได้ ซึ่งจะได้น้ำมันปาล์มที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป
โดยทั่วไป น้ำมันปาล์มดิบมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ คือ 
          Glycerides ประมาณ 95 %
          Fatty acids ประมาณ 3 - 5 %
          Minor & Trace component ประมาณ 1% ซึ่งประกอบไปด้วย phytonutrient ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และสารอื่น ๆ เช่น carotenoid, tocopherols, tocotrienols, sterols, triterperpene alcohols, phospholipids, glycolipids, terpenic hydrocarbons, waxes และ impurities
 จากกระบวนการสกัดปาล์มน้ำมัน สามารถแบ่งน้ำมันปาล์มตามวัตถุดิบที่ใช้สกัดเป็น 2 ชนิด คือ น้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ ซึ่งมีองค์ประกอบกรดไขมันที่แตกต่างกัน โดยน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันเมล็ดในปาล์ม มีองค์ประกอบของกรดไขมันอิ่มตัว: กรดไขมันไม่อิ่มตัว ในสัดส่วนประมาณ 50:50 และ 82:18 ตามลำดับ
3.    กระบวนการกลั่นบริสุทธิ์น้ำมันปาล์ม (Refine Processing) 
      การกลั่นบริสุทธิ์น้ำมันปาล์ม เป็นกระบวนการทำให้น้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ เป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์และน้ำมันเมล็ดในปาล์มบริสุทธิ์ พร้อมสำหรับการบริโภค ซึ่งกระบวน การกลั่น สามารถแบ่งได้เป็น 2 วิธีการ คือ
       2.1 วิธีทางกายภาพ (Physical or Steam refining) เป็นกระบวนการกำจัดกรดไขมันอิสระโดยผ่านไอน้ำเข้าไปในน้ำมันร้อน แล้วกลั่นแยกกรดไขมันอิสระและสารที่ให้กลิ่นให้ระเหยออกไป จึงเป็นการกำจัดกลิ่นและทำให้น้ำมันเป็นกลางไปพร้อมกัน การกลั่นน้ำมันปาล์มโดยวิธีทางกายภาพ ทำได้โดยเตรียมน้ำมันปาล์มดิบหรือน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบที่ไม่มีฟอสโฟลิปิด โดยกำจัดออกด้วยน้ำ แล้วทำปฏิกิริยาด้วยกรดฟอสฟอริก ความเข้มข้น 80 – 85 % ประมาณ 0.05 – 0.2 % ของน้ำมันปาล์มดิบผสมกับน้ำมันที่อุณหภูมิ 90 – 100C นาน 15 – 30 นาที 
จากนั้นเติมผงฟอกสี (bleaching earth) ประมาณ 0.8 – 2.0 % ของน้ำมันปาล์มดิบ และฟอกสีภายใต้สภาพสุญญากาศที่อุณหภูมิ 95–100C นาน 30–45 นาที จากนั้นนำน้ำมันปาล์มผ่านเข้าเครื่องกรองจะได้น้ำมันที่ไม่มีฟอสโฟลิปิด และทำการกลั่นโดยใช้ไอน้ำที่อุณหภูมิน้ำมัน 240 – 270C นาน 1 - 2 ชั่วโมง ภายใต้สภาพสูญญากาศ จะได้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ (Refined Bleached and Deodorized Palm Oil, RBD PO) หรือน้ำมันเมล็ดในปาล์มบริสุทธิ์ (Refined Bleached and Deodorized Palm Kernel Oil, RBD PKO)
2.2  วิธีทางเคมี (Chemical refining) เป็นกระบวนการกำจัดกรดไขมันอิสระโดยใช้สารเคมี ที่นิยมคือ ใช้สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์หรือโซเดียมคาร์บอเนต ทำปฏิกิริยากับกรดไขมันอิสระในน้ำมันให้เกิดเป็นสบู่ จากนั้นแยกสบู่ออกโดยวิธีการหมุนเหวี่ยง สำหรับความเข้มข้นของด่างที่ใช้มากน้อยแปรผันตามปริมาณกรดไขมันอิสระในน้ำมันปาล์ม การกลั่นน้ำมันปาล์มด้วยสารละลายด่าง เริ่มด้วยการให้ความร้อนแก่น้ำมันปาล์มดิบที่อุณหภูมิ 80 – 90C แล้วเติมกรดฟอสฟอริกความเข้มข้น 80 – 85 % ในปริมาณ 0.05 – 0.2 % จากนั้นเติมสารละลายด่างซึ่งจะทำให้เกิดสบู่ แยกสบู่ออกด้วยเครื่องหมุนเหวี่ยง และล้างไขสบู่ด้วยน้ำ จากนั้นให้ความร้อนแก่น้ำมันเพื่อไล่น้ำให้ระเหยออก นำน้ำมันมาฟอกสี และกำจัดกลิ่นด้วยไอน้ำ จะได้น้ำมันปาล์มที่เรียกว่า Neutralized Bleached and Deodorized Palm Oil น้ำมันปาล์มที่ผ่านการทำให้บริสุทธิ์แล้ว จะแยกเป็นสองส่วนคือ ส่วนล่างมีลักษณะเป็นไขและส่วนบนเป็นน้ำมันมีสีเหลืองอ่อนถึงเข้ม เนื่องจากน้ำมันที่ได้มีคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพบางประการที่ไม่เหมาะสมสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์บางชนิด จึงได้มีการศึกษาการดัดแปรคุณสมบัติของน้ำมันปาล์มโดยใช้กระบวนการต่างๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายมากขึ้น ผลิตผลพลอยได้ที่สำคัญ จากการกลั่นบริสุทธิ์น้ำมันปาล์ม คือ กรดไขมันปาล์ม หรือ Palm Fatty Acid Distillated (PFAD) ซึ่งนิยมใช้เป็นวัตถุดิบในการทำสบู่ อาหารสัตว์ ใช้เป็นสารตั้งต้นในการสกัดกรดไขมันชนิดต่าง ๆ หรือการสกัดวิตามินอีในอุตสาหกรรมออริโอเคมิคอล
การดัดแปรไขมันและน้ำมัน (Modification of Fats and Oil) 
       การเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของไขมันและน้ำมัน เป็นการปรับปรุงไขมันและน้ำมันให้มีความเหมาะสมในการนำไปใช้ประโยชน์หรือดัดแปรเพื่อให้มีคุณสมบัติที่มีประโยชน์หลากหลายเพิ่มขึ้น วิธีการดัดแปรหลักมี 3วิธี คือ
 1. การแยกส่วน (Fractionation) เป็นกระบวนการทางกายภาพ
 2. การอินเทอร์เอสเทอริฟิเคชัน (Interesterification) เป็นกระบวนการทางเคมีและกายภาพ
 3. การทำไขมันแข็ง (Hardening) หรือเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) เป็นกระบวนการทางเคมีการดัดแปรไขมันและน้ำมันอาจทำวิธีเดียวหรือผสมก็ได้ จะทำให้ไขมันและน้ำมันมีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ เป็นการปรับปรุงบทบาทและหน้าที่ของไขมันและน้ำมัน เช่น การเติมไฮโดรเจนเล็กน้อยเพื่อลดปริมาณกรดลิโนเลนิค เป็นการปรับปรุงให้น้ำมันมีความคงตัวเพิ่มขึ้น หรือการผสมน้ำมันเมล็ดในปาล์มที่มีจุดหลอมเหลวต่ำกับน้ำมันปาล์มและน้ำมันฝ้ายที่ผ่านการทำไขมันแข็ง และดัดแปรน้ำมันผสมด้วยวิธีอินเทอร์เอสเทอริฟิเคชัน จะได้ไขมันที่มีจุดหลอมเหลวสูง สามารถใช้แทนโกโก้บัตเตอร์ ใช้เคลือบคุกกี้ และเติมชอคโกแลตได้
 
1. การแยกส่วน (Fractionation)
      ไขมันและน้ำมันเป็นส่วนผสมของไตรกลีเซอร์ไรด์หลายชนิด ไตรกลีเซอร์ไรด์แต่ละชนิดจะมีจุดหลอมเหลวต่างกันจึงทำให้ไขมันและน้ำมันมีจุดหลอมเหลวเป็นช่วง ในการดัดแปรด้วยวิธีแยกส่วนจะใช้สมบัตินี้ในการแยกไขมันที่มีจุดหลอมเหลวต่างกัน น้ำมันที่ใช้ในการแยกส่วนคือน้ำมันปาล์มซึ่งมีความเหมาะสมในการนำมาแยกส่วนเพราะมีส่วนของความอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวในสัดส่วนใกล้เคียงกันการแยกส่วนทำโดยหลอมหรือละลายไขมันและน้ำมันให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วลดอุณหภูมิลงจะทำให้ทำให้น้ำมันและไขมันเกิดการตกผลึกหลังจากนั้นนำมากรองแยกส่วนจะได้น้ำมันหรือโอเลอินและไขมันหรือสเตียริน วิธีการแยกส่วนแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
Dry fractionation  เป็นวิธีการแยกส่วนโดยใช้วิธีให้ความร้อนแก่น้ำมันปาล์ม ให้มีอุณหภูมิประมาณ 75 – 90C เพื่อให้น้ำมันปาล์มหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำเข้าถังตกผลึกทำให้เย็นที่อุณหภูมิ 25 - 30C อย่างช้า ๆ น้ำมันปาล์มจะฟอร์มผลึกสเตียริน จากนั้นแยกผลึกออกโดยใช้เครื่องกรอง (filter press) ซึ่งจะได้โอเลอิน (จุดขุ่น 8C) 60 % และ สเตียริน 40 % และถ้าต้องการโอเลอีนที่มีคุณภาพสูง (Super olein) ต้องแยกส่วนครั้งที่ 2 ซึ่งโอเลอินที่แยกส่วนในครั้งที่ 2 มีจุดขุ่นต่ำลง (4C) เช่นเดียวกับสเตียรินเมื่อมีการแยกส่วนหลายครั้ง จะได้สเตียรินที่มีค่า IV แตกต่างกันไป ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย สำหรับ PMF (palm mid fraction) สามารถนำไปใช้ในการผลิตโกโก้บัตเตอร์
Lanza fractionation ค้นพบโดย Fractelli Lanza เป็นการแยกส่วนโดยการเติมสาร detergents หรือ wetting agents เช่น sodium lauryl sulphate ในน้ำมันพืช เพื่อทำให้พื้นผิวหน้าของผลึกเปียกและตกตะกอน ผลึกที่เปียกจะชอบน้ำและตกตะกอนในส่วนที่มีน้ำ น้ำจะมีส่วนของไขมัน น้ำมันหยดใหญ่จะรวมตัวกันใหญ่ขึ้น และจะเห็นเป็น 2 ชั้น ชั้นน้ำมันประกอบด้วยน้ำมันโอเลอิน และส่วนชั้นน้ำมีน้ำและสเตียริน วิธีการแยกส่วนแบบนี้เป็นวิธีที่แยกผลึกขนาดเล็กออกได้ง่ายกว่า dry fractionationและใช้เวลาในการตกผลึกสั้นกว่า
Wet fractionation เป็นวิธีที่อาศัยความสามารถในการละลายของไขมันและน้ำมันที่แตกต่างกัน การแยกส่วนด้วยตัวทำละลายจะให้การแยกที่ชัดเจนกว่าเพราะไม่ต้องใช้การตกผลึกแต่ใช้การเปลี่ยนอุณหภูมิและปริมาณตัวทำละลาย ทำโดยการผสมตัวทำละลายกับไขมันและปั๊มผ่านไปสู่เครื่องเกิดผลึก ซึ่งทำให้เย็นที่อุณหภูมิที่จะแยกส่วน ผลึกที่เกิดขึ้นจะถูกกรองแยกออกมา จากนั้นระเหยตัวทำละลายจะได้สเตียริน ส่วนโอเลอินและตัวทำละลายจะถูกเก็บทันที หรือไม่ก็ปั๊มไปเครื่องเกิดผลึกเพื่อให้ตกผลึกและแยกออกอีกตัวทำละลายที่นิยมใช้คือ    เฮกเซน อะซิโตน และ 2-nitropropane ตัวทำละลายที่แยกส่วนได้ชัดเจนที่สุดคือ อะซิโตนจากการเปรียบเทียบคุณสมบัติของปาล์มโอเลอินที่ถูกแยกส่วนด้วยวิธีต่าง ๆ พบว่า การแยกส่วนแบบ Lanza จะให้ผลผลิตสูงที่สุดและมีจุดที่มีของแข็งต่ำที่สุด น้ำมันปาล์มโอเลอินที่ได้มีกรดไขมันอิสระต่ำ และมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่าวิธีอื่น ๆ
2. อินเทอร์เอสเทอริฟิเคชัน (Interesterification)
       อินเทอร์เอสเทอริฟิเคชัน เป็นปฏิกิริยาของไขมันและน้ำมัน หรือสารที่ประกอบด้วย fatty acid esters กับกรดไขมัน อัลกอฮอล์หรือเอสเทอร์อื่นที่มีการแลกเปลี่ยนกรดไขมัน ทำให้เกิดเอสเทอร์ชนิดใหม่ ผลจากการอินเทอร์ ์เอสเทอริฟายน์ทำให้คุณสมบัติไขมันและน้ำมันเปลี่ยนแปลงไป จะเปลี่ยนแปลงมากน้อยขึ้นกับองค์ประกอบและการจัดเรียงตัวของกรดไขมัน และสภาวะที่เหมาะสม ไขมันและน้ำมันที่ผ่านการอินเทอร์เอสเทอริฟายน์ จะทำให้จุดหลอมเหลวของน้ำมันเปลี่ยนแปลงไป โดยมีค่าเพิ่มสูงขึ้นและมีปริมาณของแข็งเพิ่มขึ้นที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดหลอมเหลวของน้ำมันก่อนการอินเทอร์เอสเทอริฟายน์ ปฏิกิริยานี้จะเกิดได้ ต้องมีการให้ความร้อนไขมันและน้ำมันมากกว่า 250C ซึ่งทำได้ยาก จึงต้องใช้สารเร่งปฏิกิริยาเช่น sodium methoxide, sodium ethoxide, sodium metal หรือ sodium-potassium alloy โดยใช้ประมาณ 0.01 – 0.1% และสามารถหยุดปฏิกิริยาได้ด้วยน้ำ วิธีการนี้ใช้ดัดแปรให้ได้ไขมันและน้ำมันที่จะนำไปใช้เฉพาะอย่าง หรือเป็นการปรับสมบัติของน้ำมันให้เหมาะสมมากขึ้น การเลือกวัตถุดิบจึงมีความจำเป็น เพื่อให้ได้องค์ประกอบของกรดไขมันตามที่ต้องการ ไขมันและน้ำมันที่จะทำอินเทอร์เอสเทอริฟายน์ต้องผ่านการกำจัดกรดไขมันอิสระ, ทำให้เป็นกลางและแห้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการยับยั้งสารเร่งปฏิกิริยา และอาจไม่ต้องฟอกสีก็ได้ เพราะน้ำมันจะมีสีเข้มขึ้นเมื่อผ่านการอินเทอร์เอสเทอริฟายน์ จึงควรฟอกสีภายหลังและนำไปกำจัดกลิ่นต่อไป การกำจัดสารเร่งปฏิกิริยาออกเนื่องจากเป็นพิษ หรือมีผลเสียต่ออายุการเก็บ ทำได้โดยการรีไฟน์แต่จะเกิดการสูญเสีย จึงอาจเติมกรดฟอสฟอริกเพื่อทำลายสบู่ แล้วเติมสารช่วยกรองกวนผสมหลังจากนั้นกรองสารเร่งปฏิกิริยาออก
3. การทำไขมันแข็ง (Hardening) หรือการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation)
       เป็นการเติมไฮโดรเจนที่พันธะคู่ เพื่อทำให้น้ำมันเปลี่ยนเป็นไขมันแข็ง และลดจำนวนพันธะคู่ลง ทำให้น้ำมันที่ได้มีความคงตัวต่อการเหม็นหืน ป้องกันการเกิดกลิ่น เนื่องจากกรดลิโนเลนิก และทำให้น้ำมันมีสีอ่อน การเติมไฮโดรเจนต้องมีสารเร่งปฏิกิริยา ที่นิยมใช้คือ นิเกิล (nickle) มีลักษณะเป็นของแข็งอยู่กับ supportor ที่มีลักษณะโปร่งเป็นโพรง และคงรูปร่างแข็งแรงถึงจะได้รับความร้อนสูง ปัจจัยที่มีผลต่อการเติมไฮโดรเจนคือ อุณหภูมิ ความดัน การเคลื่อนย้ายมวลสาร หรือ การกวน สารเร่งปฏิกิริยาทั้งชนิด สภาพ และความเข้มข้น เวลา และสารตั้งต้น สภาวะการเติมไฮโดรเจนจะมีผลต่อปริมาณ trans isomer การควบคุมสภาวะเพื่อให้ได้น้ำมันที่มีคุณภาพตามต้องการเป็นสิ่งสำคัญ ถ้ามีน้ำในน้ำมันจะมีผลทำให้ยับยั้งการทำงานของนิเกิล และทำให้น้ำมันเกิดการแตกตัว ปริมาณกรดไขมันอิสระสูงเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดสบู่และสารอื่น ๆ ที่จัดเป็นสารที่มีพิษต่อสารเร่งปฏิกิริยา (catalyst poison) เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และคลอรีน คุณสมบัติของน้ำมันที่ผ่านการทำไขมันแข็งถ้ามีลักษณะเป็น semiliquid และ soft fat จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมขนมอบและขนมหวาน soft fat นิยมใช้ในอุตสาหกรรมการทอดที่ใช้น้ำมันปริมาณมาก (deep frying) คุณค่าทางโภชนาการของน้ำมันที่ผ่านการทำไขมันแข็งจะมีการย่อยที่ไม่แตกต่างกัน  
กระบวนการผลิตปาล์มแว็กซ์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ
       หลังจากกระบวนการสกัดน้ำมันปาล์มด้วยวิธีการต่างๆน้ำมันปาล์มดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนอกจากจะได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มที่ใช้ใช้ในการบริโภคแล้ว ส่วนที่เหลือจากกระบวนการยังสามารถนำมาผ่านกระบวนการทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ต่างๆอีกหลายชนิด เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้จากกรดไขมันปาล์ม (Palm Fatty Acid) ดังนี้
ไฮโดรจีเนท ปาล์ม ออยล์  (Hydrogenate Palm Oil) 
ผลิตโดยผ่านกระบวนการ Hydrogenate (Gas Hydrogen) เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างองค์ประกอบกรดไขมันและทำให้ Palm Oil แข็งตัวและมีจุดหลอมเหลวที่สูงขึ้น (Melting Point) เหมาะสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมประเภท Rubber, Candle, Textile โดยเฉพาะอุตสาหกรรม Candle สามารถนำไปผสมกับ Paraffin wax ประมาณ 10-25% เนื่องจากมีจุดหลอมเหลวที่ใกล้เคียงกัน และเพื่อลดต้นทุนในการผลิตเนื่องจาก Palm Oil เป็นผลิตภัณฑ์ที่ราคาไม่แพงมากนัก
สเตียรีน (Stearine)
ผลิตโดยผ่านกระบวนการตกผลึกและบีบอัดด้วย Pressure แรงดันสูง เพื่อแยกองค์ประกอบกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวออกจากกรดไขมันที่อิ่มตัวมากกว่าจึงทำให้ไขมันแข็งตัวและมีจุดหลอมเหลวที่สูงขึ้นและมีความเหนียวแตกต่างจาก การผ่าน Hydrogenate ที่แข็งเปราะ และเหมาะกับอุตสาหกรรมประเภท Rubber, Candle, Textile โดยเฉพาะอุตสาหกรรม Candle สามารถนำไปผสมกับ Paraffin Wax ประมาณ 20-40% เนื่องจากมีจุดหลอมเหลวที่ใกล้เคียงกัน และค่อนข้างมีความเหนียวที่มาพอสมควร และเพื่อลดต้นทุนในการผลิตเนื่องจาก Palm Oil เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ในประเทศราคาจึงไม่สูงมากนัก
ปาล์ม แว็กซ์ (Palm Waxes)
 ผลิตภัณฑ์แว็กซ์หรือไขที่ผลิตได้จากไขมันปาล์มธรรมชาติ (Crude palm oil / CPO) ที่ได้จากผลของปาล์มน้ำมันและได้จากขั้นตอนสุดท้ายของการผลิตน้ำมันปาล์มบริโภค นำมาผสมกับไฮโดรเจน (Hydrogenate Palm Oil / HPO) ในอัตราส่วนที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มจุดหลอมเหลวให้สูงขึ้นเหมาะสำหรับที่จะใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเทียน (Candle)

บรรณานุกรม
http://it.doa.go.th/palm/linkTechnical/oil%20palm%20processing.html การแปรรูปปาล์มน้ำมัน     
ข้อมูลจากเอกสารวิชาการ ฉบับที่ 07-48-014, 14 กุมภาพันธ์ 2549 เรื่อง “ปาล์มน้ำมัน”   หน้า 107-108,110 ของกลุ่มวิจัยและพัฒนาอนุรักษ์ดินและน้ำพื้นที่พืชไร่,สำนักวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน, กรมพัฒนาที่ดิน
http://www.siamoil.com/th/products.asp  บริษัท สยามน้ำมันพืช จำกัด


วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

กระบวนการผลิตแว๊กซ์จากน้ำมันปิโตรเลียม


กระบวนการผลิตแว๊กซ์จากน้ำมันปิโตรเลียม 
(Petroleum Wax Process)

แว๊กซ์หรือไขที่ได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมนั้น จะได้มาจากกระบวนการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานจากน้ำมันปิโตรเลียม โดยเริ่มจากจะต้องเลือกใช้น้ำมันดิบประเภท Paraffinic Base Oil หรือ Naphthenic Base Oil ซึ่งวัตถุดิบสำหรับการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานหรือ Lube Base Oil ก็คือ กากที่เหลือจากการกลั่นภายใต้หอกลั่นบรรยากาศหรือ Long Residue โดยมีกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ดังต่อไปนี้

1.       กระบวนการกลั่นแบบลำดับส่วน (Fractional Distillation)
น้ำมันดิบจากถังเก็บจะถูกสูบด้วยเครื่องสูบขนาดใหญ่ที่มีความดันสูงผ่านเครื่องถ่ายเทความร้อนจนได้อุณหภูมิสูงเพื่อเข้าสู่หน่วยกำจัดเกลือ (Desalter) เพื่อทำการแยกน้ำและเกลือที่ติดมากับน้ำมันดิบออก จากนั้นน้ำมันดิบจะผ่านเข้าเตาเพื่อเพิ่มอุณหภูมิความร้อนประมาณ 315-371 องศาเซนเซียส หรือประมาณ 600-700 องศาฟาเรนไฮต์ น้ำมันดิบที่ร้อนและไอร้อนจะไหลผ่านเข้าไปสู่ตอนล่างของหอกลั่นบรรยากาศ (Atmospheric Fractionation Tower)

1.1 หอกลั่นบรรยากาศ (Atmospheric Fractionation Tower)
คือ กระบวนการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมซึ่งทำการกลั่นแยกประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีจุดเดือดต่ำ จากการกลั่นในหอกลั่นบรรยากาศจะได้ผลิตภัณฑ์ก๊าซ, น้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน,น้ำมันก๊าด, น้ำมันดีเซล และ กากส่วนที่เหลือจากการกลั่นภายใต้หอกลั่นบรรยากาศ หรือ กากบรรยากาศ ที่เรียกว่า Long Residue หรือ Atmospheric Residue หรือ Top Crude ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานหรือ Lube Base Oil น้ำมันตัวนี้จะถูกไปกลั่นต่อที่หอกลั่นสุญญากาศ (Vacuum Fractionation Tower) ต่อไป

 
หอกลั่นบรรยากาศ (Atmospheric Fractionation Tower)


องค์ประกอบต่างๆ
จุดเดือด (oC)
สถานะ
จำนวนคาร์บอนอะตอมในโมเลกุล
ก๊าซปิโตรเลียม
ต่ำกว่า 30
ก๊าซ
1-4
น้ำมันเบนซิน
0-65
ของเหลว
5-6
แนพธา
65-170
ของเหลว
6-10
น้ำมันก๊าด
170-250
ของเหลว
10-14
น้ำมันดีเซล
250-340
ของเหลว
14-19
น้ำมันหล่อลื่น
340-500
ของเหลว
19-35
ไข
340-500
ของแข็ง
19-35
น้ำมันเตา
สูงกว่า 500
ของเหลว
มากกว่า 35
บีทูเมน
สูงกว่า 500
ของแข็ง
มากกว่า 35
         
สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ได้จากการกลั่นลำดับส่วนของน้ำมันดิบ

1.2               หอกลั่นสุญญากาศ (Vacuum Fractionation Tower)
คือ หอกลั่นซึ่งทำการกลั่นแยกประเภทน้ำมันหล่อลื่นที่มีจุดเดือดสูง
ซึ่งต้องนำกากส่วนที่เหลือจากการกลั่นภายใต้หอกลั่นบรรยากาศ ที่เรียกว่า Long Residue ชองน้ำมันดิบซึ่งจะนำมากลั่นในหอกลั่นสุญญากาศแยกส่วนก๊าซออยล์สุญญากาศออกเป็นส่วนๆตามค่าความหนืดหรือความข้นใสของน้ำมัน โดยแบ่งออกเป็น 3-4 เกรด ตั้งแต่ชนิดใสจนถึงชนิดข้น และกากส่วนที่เหลือจากการกลั่นภายใต้หอกลั่นสุญญากาศ หรือกากสุญญากาศ ที่เรียกว่า Short Residue ซึ่งต้องนำไปสกัดเอาส่วนยางมะตอยออกต่อไป


หอกลั่นสุญญากาศ (Vacuum Fractionation Tower)

2.       กระบวนการแยกแอสฟัลต์ (Deasphalting)
คือ การนำกากส่วนที่เหลือจากการกลั่นภายใต้หอกลั่นสุญญากาศ หรือกากสุญญากาศ ที่เรียกว่า   Short Residue มาสกัดเอาส่วนยางมะตอยออกไปเสียก่อน โดยการสกัดนี้ใช้ตัวทำละลายเป็นโพรเพนซึ่งจะทำให้ยางมะตอยตกตะกอนออก เหลือน้ำมันข้นที่เรียกว่า Bright Stock สำหรับนำไปทำน้ำมันเครื่องต่อไป


กระบวนการแยกแอสฟัลต์ (Deasphalting)

3.        กระบวนการสกัดด้วยตัวทำละลาย (Solvent Extraction)
คือ กระบวนการขจัดสารอะโรมาติกส์ แนฟทาลีน และสิ่งสกปรกในน้ำมันออกด้วยตัวละลาย ตัวทำละลายที่นิยมใช้กันมากในการสกัด คือ ฟีนอล (Phenol) และ เฟอร์ฟูรัล (Furfural) เพื่อปรับปรุงดัชนีความหนืดเพื่อทำให้ค่าความหนืดของน้ำมันไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่ออุณหภูมิของน้ำมันเปลี่ยนไป


กระบวนการสกัดด้วยตัวทำละลาย (Solvent Extraction)
4.       กระบวนการตกผลึก (Solvent Dewaxing)
คือ การขจัดเอาไขขี้ผึ้งออกด้วยกระบวนการ “Dewaxing” เพื่อลดจุดไหลเทลงให้ต่ำ กระบวนการนี้มักใช้เมททิลเอททิลคีโทน (Methyl Ethyl Ketone or MEK) เป็นตัวทำละลาย นำไขขี้ผึ้งที่ได้ซึ่งประกอบด้วยสารพาราฟินโมเลกุลใหญ่ๆซึ่งจะตกผลึกออกมาเมื่อทำให้เย็นลง ไขที่แยกออกมาเรียกว่า สแลค แว็กซ์ (Slack Wax) ซึ่งยังมีปริมาณน้ำมันในแว็กซ์ (Oil Content) สูงอยู่ จึงต้องนำไปทำให้บริสุทธิ์เป็นพาราฟิน แว็กซ์ก่อนด้วยการผ่านกระบวนการ “Sweating Process”


กระบวนการตกผลึก (Solvent Dewaxing)

5.       กระบวนการสเวตติ้ง โพรเซส (Sweating Process)
คือ การนำสารป้อน ( Fees Stock) คือ สแลค แว็กซ์ (Slack Wax) ที่ได้มาจากกระบวนการตกผลึกมาทำให้ไขร้อนค่อยๆขึ้นทีละน้อย โดยแรกๆไขที่มีจุดหลอมตัวต่ำ และน้ำมันก็จะไหลออกไปก่อน ต่อเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นไปอีกไขที่มีจุดหลอมตัวสูงก็จะไหลออกตาม โดยการควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม จะทำให้ไข Sweating Process บริสุทธิ์โดยกำจัดน้ำมันที่ติดมา ที่เรียกว่า “Foot Oil” ออกจนเหลือน้ำมันอยู่น้อยกว่า 0.5%wt หรือตามค่ามาตรฐานของพาราฟิน แว็กซ์ Gradeอื่นๆที่สามารถนำมาใช้ทำเทียนและใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งจากกระบวนการนี้จะได้ผลิตภัณฑ์แว็กซ์ 2 ชนิด คือ
1. พาราฟิน แว็กซ์ (Paraffin Wax)
2. ไมโครคิสตัลไลน์ แว็กซ์ (Microcrystalline Wax) หรือ ไมโคร แว็กซ์ (Micro Wax)

กระบวนการสเวตติ้ง โพรเซส (Sweating Process)

แหล่งอ้างอิง
หนังสือปิโตรเลียมเทคโนโลยี ฉบับปี 2005 / ศ.ดร.ปราโมทย์ ไชยเวช
PETROLEUM WAX & VASELINE PLANT.pdf /Q_iso Technology Co.,Ltd. Seoul, Korea